Wednesday, 4 September 2013

"สูบ"ไม่ขับ

วันนี้ขอพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกๆๆๆๆวันในทุกๆเช้าอันแจ่มใสของการขับรถไปทำงาน .. ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพบเจอกับทัศนียภาพอันไม่พึงประสงค์ ... ภาพแขนของคนขับรถที่ห้อยออกนอกตัวรถพร้อมกับคีบอะไรซักอย่างที่มีไฟอยู่ที่ปลาย

ใช่แล้ว!! มันคือภาพของคนที่ "สูบบุหรี่ขณะขับรถ"

วันที่1: เฮ้ยรีบแซงดีกว่า เดี๋ยวประกายไฟเกิดโดนรถ ระเบิดขึ้นมาจะทำไง!! (อันนี้ก็แอบคิดเว่อร์ไปนีดสสสสส)

วันที่2: เฮ้ยรีบแซงดีกว่า เดี๋ยวประกายไฟเกิดโดนรถ ระเบิดขึ้นมาจะทำไง!!

วันที่3: เฮ้ยรีบแซงดีกว่า เดี๋ยวประกายไฟเกิดโดนรถ ระเบิดขึ้นมาจะทำไง.. ว่าแต่ทำไมถึงเจอทุกวันเลยฟร่ะ แล้วต้องขับตามทุกวันในสภาวะรถติดแบบนี้เนี้ยนะ?

วันที่4: เฮ้อออ.. อีกแระ มันถูกป่ะเนี่ยที่เราต้องมาคอยหลบแบบเนี้ยยยย?

วันที่5: เจี้ยยยแระ.. ฟ้องตำรวจได้ป่ะเนี้ย มันผิดกฎหมายมั้ยฟร่ะ??!!???

ปล.คำพูดอาจติดเรทไม่เหมาะสำหรับเด็ก คนชรา และสตรีมีครรภ์ เนื่องด้วยองค์ลงเวลาขับรถ

ที่มาของเรื่องก็ง่ายๆแบบนี้แระ เห็นทู้กกกกวันนนจนนึกสงสัยว่ามันจะอะไรกันนักหนา ... เลยอดไม่ได้ที่จะคิด

1. การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย -- แล้ว "ถนน" เค้าถือเป็นที่สาธารณะรึป่าวเนี้ย? เอ.. แต่ตัวอยู่ในรถ?? รถถือเป็นสถานที่ส่วนบุคคลหรือป่าวละ? เอ.. แต่แขนยื่นออกมานอกตัวรถนะ??
... เลยพาลไปนึกถึงพาดหัวข่าวฉบับหนึ่งเมื่อนานมาแล้วที่คู่รักคู่หนึ่งโดนจับเนื่องจากสวิ้งกิ้งกันในรถ ซึ่งรถก็จอดอยู่ข้างถนนนี่แระ?? เอ.. มันจะกรณีเดียวกันมั้ยน้าาาา

2. การทิ้งขยะลงในที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย!! อันนี้เศษบุหรี่ที่หล่นลงพื้นถนนผิดกฎหมายชัวร์ ฟันธง!! (ว่าแต่ใครจะไปตามจับละเนี้ย เหอะๆๆๆ)

3. อ้าว.. แล้วที่จุดบุหรี่ในรถละ? มีไว้เพื่อ????

ถึงแม้ว่าข้อสงสัยเหล่านี้อาจไม่ใช่ปัญหาระดับชาติ แต่จำเป็นเหรอที่ต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุก่อนแล้วค่อยให้ศาลตัดสินว่าใครถูกใครผิด แค่คิดซักนิด แวะจอดข้างทาง บรรยากาศชิวชิว คุณอาจจะมีความสุขกับการดื่มด่ำมะเร็งมากกว่าที่คุณคิด

"การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่คนที่ได้รับอันตรายมากกว่าคือคนที่คุณรักที่อยู่รอบตัวคุณ"
เจ้าหนูจำไม


Thursday, 29 August 2013

คำถามเศร้าๆของคนเป็นครู


อาชีพทุกอาชีพมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง มีลักษณะงาน หน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่แตกต่างกันไป

อาชีพ "ครู" ก็ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องมีความรับผิดชอบในอาชีพและมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพเป็นอย่างสูง ... จะไม่ขอพูดถึง สีขาว สีเทา และสีดำของผู้ประกอบอาชีพ ณ จุดนี้ ... (ขอไว้โอกาสหน้า) แต่จะขอพูดถึงคำถามที่คนไม่เป็นครูอาจจะไม่เข้าใจ หรือบางครั้งตัวเรือจ้างเองก็อาจไม่เข้าใจหรือไม่เคยนึกสงสัย

... "จะสอนอะไรกันนักหนา?" ...

คำถามที่รู้สึกว่าสะเทือนใจมาก แต่มันคือความจริง!!! ... แม้แต่ตัวเราเองยังเคยคิดกับผู้ที่สั่งสอนเรามาเลยว่า "อาจารย์จะสอนอะไรนักหนา?" เฮ้อออ.. บาปกรรมจิงๆ เมื่อวันนึงเจอคำถามนี้กับตัวเอง มันทำให้เกิดอาการมึนงงเหมือนนักมวยที่ถูกคู่ต่อสู้แย้บหมัดขวาใส่หน้าเข้าอย่างจัง มีอย่างที่ไหนมาถามคนสอนหนังสือว่า สอนทำไม?

แน่นอนว่าคำตอบแรกที่ไม่ต้องใช้ความคิดเลยคือ "มันเป็นหน้าที่!!!"

หลังจากโดนหมัดขวาแย้บใส่หน้าอย่างจัง หมัดซ้ายก็ตามมา ...

... "แล้วจำได้มั้ยว่าตอนเรียนปี3 อาจารย์สอนอะไรมาบ้าง?" ...

เจอคำถามนี้เข้าไปเหมือนถูกน้อค ถึงขั้นล้มลง ปล่อยให้กรรมการนับ10กันเลยทีเดียว..

ก็จะให้ตอบยังไงละ ในเมื่อมันคือความจริงที่ว่า "ช้านนนจำไม่ได้" ... นั่นสินะ ขนาดเรายังจำไม่ได้ว่าเราเคยเรียนอะไรมา แล้วเราจะคาดหวังอะไรกับลูกศิษย์ ไม่ต้องพูดถึงขนาด 5 ปีผ่านไปหรอก แค่สอบเสร็จก็ไม่มีใครอยากจะจำให้รกสมองแร้ว ความจุสมองมันน้อย ใช้แล้วต้องรีบคืน!! ไม่ก็ สงสารอาจารย์จ้าาา เดี๋ยวไม่มีอะไรไปสอนรุ่นน้อง เลยคืนๆไปเหอะ!!

กรรมการนับได้ถึง 6.. 7... 8.... เก้...า...าาา สติสตังค์ที่มีก็ค่อยๆกลับมา..

สำหรับผู้สอนท่านอื่นคำตอบอาจแตกต่างกันไป แต่สำหรับตัวเองคงตอบได้ดีที่สุดแค่ว่า..

"เรากำลังสอนให้ลูก(ศิษย์)รู้จักคิด สอนให้พวกเค้าได้พัฒนาทักษะ เพื่อให้พร้อมไปเผชิญโลกอันกว้างใหญ่ด้วยตัวเอง สอนให้ฝึก ให้อดทน และที่สำคัญคือ สอนให้เข้มแข็ง"

ถูกแล้ว.. ที่อะไรที่เราไม่ได้ใช้ มันก็เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่เราจะได้เรียนรู้ว่าหากเราเจอคำถามหรือปัญหา เราจะหาวิธีการแก้ไขและก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นจุดประสงค์ของการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

** เนื้อหาที่สอนอาจส่งถึงผู้รับได้ไม่หมด แต่ "การเรียนรู้" จะยังคงอยู่กับผู้รับตลอดไป **

... มันอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่มันคือคำตอบที่ผ่านการคิดและต้องการให้คนถามทุกคนเข้าใจถึงความปรารถนาดีของผู้ตอบ
เจ้าหนูจำไม


Saturday, 24 August 2013

กลยุทธ์การตลาดที่ไม่อาจให้อภัย

เรียน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน

ดิฉันได้ใช้บริการเงินฝากออมทรัพย์ร่วมกับบัตร ATM ธุรกรรมทำฟรีของธนาคารท่าน (ธนาคารสีน้ำเงินแห่งหนึ่ง) ซึ่งทราบในเบื้องต้นว่าสามารถทำธุรกรรม กด/จ่าย/โอน ผ่านทางตู้ ATM ฟรี 10ครั้งต่อเดือน แต่ปรากฏว่าดิฉันโดนเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเงินไปยังต่างธนาคารเป็นจำนวนเงิน 35 บาท และมั่นใจว่ายังไม่ได้ทำธุรกรรม "กด/จ่าย/โอน" เกินจำนวน 10 ครั้งในเดือนดังกล่าวอย่างแน่นอน

จึงเรียนมาเพื่อขอคำชี้แจงในประเด็นดังกล่าว

จาก ลูกค้าผู้ใช้บริการมานานและยอมละเลยให้ท่านเอาเปรียบในหลายๆครั้งโดยที่รู้ตัวบ้างและไม่รู้ตัวบ้าง




To be continued...

เฮ้ออออ... เรื่องก็เป็นอย่างที่บอก ตอนแรกก็กะจะปล่อยผ่านไปอารมณ์ว่า "ช่างมันเถอะ" แต่พอมาคิดดูอีกที มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและที่สำคัญคือ มันก่อให้เกิดความสงสัย!!!   ก็เลยคิดว่าคงต้องหาคำตอบให้รู้กันไป...

ขอขยายความอีกหน่อยละกัน... วันนั้นพอดีไปทำธุรกรรมที่ธนาคารดังกล่าว เสร็จแล้วเลยเดินไปโอนเงินที่ตู้ ATM ของธนาคารซึ่งตู้ก็อยู่ติดกับธนาคารเนี่ยแระ ตั้งใจจะโอนเงินไปยังบัญชีต่างธนาคาร ผลปรากฏว่า โดนหักค่าธรรมเนียมในการโอน 35 บาท ตกใจสิงานนี้!!โดนค่าธรรมเนียมได้ไงหว่า?? ไหนว่าทำฟรีไง?? หลายคนอาจคิดว่า เครื่องต้องบอกเราก่อนสิ ก่อนที่เราจะกดปุ่มยืนยันการทำรายการ ถ้ารู้ว่าจะโดนค่าธรรมเนียมแล้วกดโอนทำไม? แต่ปะเด็นคือ มันไม่รู้หนะสิ!!! ถึงกดโอน!!! เพราะวิธีการของธนาคารนี้คือ เวลาเราทำรายการมันจะขึ้นโชว์ว่ามีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ แต่พอกดทำรายการ สลิปที่ออกมามันจะแจ้งว่า ค่าธรรมเนียม 0 บาท (ที่รู้เพราะเคยโอนมาก่อน) ... แต่ครานี้มันม่ายยช่ายยย.. เล่นจิง โดนจิง เจ็บจิง จ่ายจิง ไม่มีแสตนด์อิน ...

หลังจากที่เสียเงินค่าธรรมเนียมไปอย่างงงๆ ก็ลังเลใจเล็กน้อย เอ๋..หรือว่าเราจะกดกะโอนมากกว่า 10 ครั้งในเดือนนี้??? (โทษตัวเองไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวหน้าแหก) เลยจัดการอัพเดทสมุดบัญชีที่อยู่ในมือจากเครื่องอัพเดทอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ข้างๆ  ปรากฏว่า.. นับดูรายการที่ทำในเดือนนี้ ก็ไม่เกินนี่นา เอ๋?? ไม่น่าพลาดแระนะงานนี้!!! เอาว่ะ!! เดินเข้าไปถามหน่อยดีกว่าว่า "ทำไม?" (ก็ธนาคารมันอยู่ตรงหน้านี่นา) ...

และสิ่งที่ได้รับกลับมาจากการย่างเท้ากลับเข้าไปที่ธนาคารคือ... ความรู้สึกเหมือนตัวประหลาดที่กำลังก่อความไม่สงบสุขให้แก่ชาวโลก!! พนักงานที่รับเรื่องให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากไม่สามารถให้คำตอบได้ จึงดูเหมือนทั้งเคาน์เตอร์จะวุ่นวายกันใหญ่ ... หลังจากรอซักพัก กูรูหนึ่งในพนักงานจึงว่างพอที่จะบอกวิธีการตรวจสอบ โดยการคีย์เลขบัญชีไปที่อะไรซักอย่าง และผลที่ออกมาคือ ... "คุณได้ทำรายการเกิน 10ครั้ง" เฮ้รยยยย... เป็นไปได้ไง สมุดบัญชีก็เห็นกันอยู่ นับยังไงก็ไม่เกิน แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนท์ด้วยประโยคที่ว่า "ธุรกรรมที่ทำฟรีนี้รวมถึงการกดเช็คยอดเงินด้วยนะคะ" ... เอ่อ.. อึ้งไป 5วิ และถามกลับไปว่า "ถ้าเป็นการกดดูยอดเงินก่อนถอนเงินนับด้วยมั้ย?" (อารมว่าใส่บัตรไปทีเดียวนะ กดดูยอดเงินก่อน แล้วกดถอนเงินต่อกันเลย) พนักงานตอบกลับมาว่า "นับเป็น 2ครั้งค่ะ" เฮ้รยยยยย จะบ้าแล้วป่ะ!!! ปกติชั้นก็ต้องดูยอดเงินที่เหลือก่อนดิ ค่อยคิดว่าจะถอนเท่าไหร่.. ณ ขณะนั้น ในใจมีเสียงร้องครวญครางดังราวฟ้าผ่าครืน..ครืน.. แต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้าพนักงานคือการตอบกลับไปว่า อ๋อ.. ขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังควรระบุรายละเอียดลงในโบว์ชัวร์ด้วยนะคะ และยิ้มอย่างสุภาพ(ตามมารยาท) ให้ 1ครั้งก่อนเดินจากมา

กรี๊ดดดๆๆๆๆๆ เสียงที่ดังก้องอยู่ในใจ ...
โหยยยยย.. งี้.. ก็เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคตาดำๆเห็นๆอ่ะดิ ทำงี้ได้ไงเนี้ย ฟ้อง "สคบ." เลยดีม่ะเรา เอาให้ถึงที่สุด!!!

ด้วยอารมณ์ที่ยังคั่งค้างอยู่ภายใน จึงทำการต่อโทรศัพท์ไปที่ call center ของธนาคารดังกล่าว อดทนอดใจรอ..ร้อ.. รอ.. กว่าจะมีคนรับสาย และถามคำถามแบบเดียวกันกับที่ถามพนักงานเคาท์เตอร์ และสิ่งที่ได้รับคำตอบกลับมาก็คือ... "กดเช็คยอดเงินก็นับนะคะ" ... เอ่อ... มันก็รู้คำตอบอยู่แล้วอ่ะนะ แต่ขอซะทีเหอะ ก่อนวางสายเลยพูดกับเจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจว่า "คุณทำแบบนี้ ไม่คิดว่าเป็นการหลองลวงผู้บริโภคเหรอคะ?" ไม่มีเสียงตอบกลับใด... จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เงียบไป ประหนึ่งว่าประโยคที่กล่าวออกไปนั้นเปรียบเสมือนคำบอกเลิกกันระหว่างหนุ่มสาว ... คงทำได้เพียงแค่ยอมกลายเป็นผู้จำนนท์.. และยกธงขาว เดินจากมา..

หลังจากนั้นไม่เกิน 1สัปดาห์ ก็ได้รับข้อความจากธนาคารแจ้งว่า...
"ธนาคาร... คืนเงินเข้าบ/ช ธุรกรรมทำฟรี ของท่าน 100 บ. จากโปรโมชั่นธุรกรรมทำฟรีแล้วยังได้รับเงินคืน อยากรับเงินคืนอีก เดือนหน้ากด จ่าย โอน อย่างน้อย 5 ครั้ง นะคะ"
ความรู้สึกแรกคือ ... อ่อ.. "ตบหัวแล้วลูบหลังกันนี่หว่า" ความรู้สึกที่สองคือ ... เค้าให้เราเป็นค่าชดเชยที่เสียไป 35บาทป่ะเนี้ย เอาว่ะ!! คุ้มอยู่นะ ... ความรู้สึกถัดมาคือ ... เฮ้รยยยยย จะบร้าาาเหรอออ ถึงทำแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธรรมขึ้นมาซะหน่อย!!!
แต่สังเกตดูสิข้อความที่ส่งมาคือ กด!! จ่าย!! โอน!! .. สงสัยว่า คำว่า "กด" ของธนาคาร กะ ลูกค้าคงไม่เหมือนกัน
"กด" สำหรับลูกค้า = การกดเงินสดออกจากตู้ATM
"กด" สำหรับธนาคาร = คุณจะทำอะไรข้าไม่สน แต่เมื่อไรที่เอานิ้วจิ้มปุ่ม ข้าคิดเงิน!!!

...ก็เพราะไม่ใช่ อัลตร้าแมน จึงไม่ได้มาปราบอธรรม แค่อยากร้องตะโกนหา "ความเป็นธรรม" เท่านั้นจิงๆ
เจ้าหนูจำไม


Tuesday, 20 August 2013

เวทมนต์แห่งการโฆษณา

วันนี้ได้นอนดูซีรีย์ที่มีกระแสแรงแห่งยุควัยทีน "Hormones วัยว้าวุ่น" ทำให้นึกอยากเขียนข้อคิดอะไรบ้างอย่างที่ได้จากการดูคลิปวิดีโอนี้ (ติดตามชมผ่านทางยูทูป) ที่เรียกว่าคลิปวีดีโอเพราะว่าสิ่งที่กำลังจะพูดถึงในที่นี้ไม่ได้กำลังจะพูดถึงเนื้อหาในหนัง ซึ่งหลายๆคนก็ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์เหล่านี้" แต่ทุกครั้งที่ดู ก็อดคิดไม่ได้ว่า จริงเหรอ? คนไทยเราควรจะยอมรับให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสาธารณะสำหรับเด็กวัยรุ่นได้จริงๆเหรอ? แต่ประเด็นนี้ขอพักไว้ก่อน

ประเด็นที่จะเขียนถึงวันนี้ น่าจะเป็นประเด็นที่แตกต่างจากที่คนทั่วไปกำลังวิพากษ์วิจารณ์ นั่นคือเรื่องของ "sponsor" หรือ "ผู้สนับสนุนรายการ" นั่นเอง

แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็น หนัง/ละคร/ภาพยนต์/รายการทีวีต่างๆ ย่อมต้องการงบประมาณในการสนันสนุนเพื่อให้สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นยังคงอยู่และทำกำไรให้แก่ตน

จากการติดตามซีรีย์ Hormones อย่างใกล้ชิด สิ่งที่รู้สึกมาโดยตลอด นั่นคือ ยิ่งกระแสตอบรับมากเท่าไหร่ โฆษณาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (ซึ่งมันก็ไม่เห็นจะแปลก..) จากที่แรกเริ่มมีผู้ผลิตที่กล้าหาญร่วมชะตากรรมเพียงไม่กี่ราย แต่ตอนนี้ช่วงเวลาระหว่างตอนกลับกลายเป็นช่วงเวลา generate income ให้กับผู้สร้างได้อย่างมหาศาล

เพราะฉะนั้น มันคงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นโฆษณาขายถุงยางอนามัยยี่ห้อดัง ปรากฎอยู่ในช่วงเวลาทองดังกล่าว ใช่เลย!! โฆษณาถุงยางที่บอกชัดเจนว่ามีหลายแบบหลากกลิ่นให้เลือก รวมทั้งโฆษณาเหล่าสินค้าครีมผิวขาว ครีมหน้าใส หรือแม้แต่อาหารเสริมบำรุงความงาม ที่เราก็มิอาจรู้ได้ว่าสารสกัดเหล่านั้นมันส่งผลต่อร่างกายเรา หรือเกิดจากจิตวิทยาของเหล่านักการตลาดมือฉมัง ก็ทะยอยตบเท้าเข้ามาเคาะประตูบ้านเรียกลูกค้าเฉพาะกลุ่มแบบถึงเนื้อถึงตัว

ซึ่งแน่นอนว่า โฆษณาเหล่านี้ เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นง่ายๆผ่านทาง "ฟรีทีวี"

ทำไมเหรอ? ก็เพราะเหตุผลง่ายๆ 2ข้อ
1) "แพง" ก็เป็นไปตามกฎของอุปสงค์-อุปทาน  สินค้าที่มีิอยู่จำกัด (เวลา) และมีคนต้องการมาก (ผู้ผลิตสินค้าที่ต้องการให้โลกรู้ว่าสินค้าชั้นมีอยู่บนโลกนี้) ราคาสินค้านั้นย่อมแพงเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นก็จะมีแค่เจ้าใหญ่และขาประจำที่เป็นผู้ผูกขาดไป
2) "กรรมการร่วมระหว่างสถานีกับสมาคมโฆษณาฯ" เป็นคณะกรรมการรวมของแต่ละช่องสถานีและสมาคมโฆษณา ที่ทำหน้าที่หลักในการตรวจสอบโฆษณาต่างๆ ที่มีการสกรีนโฆษณาให้เหมาะสมกับผู้บริโภค

แต่หลายคนยังคงเข้าใจว่า อ้าว!! ไม่ใข่หน้าที่ของ “กบว.” (อ่านว่า กอ-บอ-วอ) หรือชื่ิอเต็มว่า “คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์” รือ?
คำตอบง่ายๆคือ กบว.เค้าถูกยกเลิกไปตั้งกะปีมะโว้แล้วววว (ปี2535)
ดังนั้น เลิกให้เค้าเป็นแพะซะทีเหอะ!!

(กลับมาเข้าเรื่อง) ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กำหนดกฎระเบียบมาตรการใดๆ ทุกคนคงคิดไม่ต่างกันว่า มันจะอะไรนักหนา??? เมื่อมีการแบนหรือเซนเซอร์โฆษณา/ละคร -- ใครเค้าอยากโฆษณาอยากพูดอะไรก็ให้ทำๆไปเหอะ -- ขนาดนมชิซูกะยังดูไม่ได้เลย -_-"

แต่วันนี้หลังจากที่ดู Hormones จบ.. ก็ทำให้เกิดความคิดขึ้นว่า
- มันจะดีเหรอที่ปล่อยให้สื่อประกาศขายสินค้าได้ทุกประเภทตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบแบบนี้?
- มันจะดีเหรอที่ของทุกอย่างที่เด็กวัยรุ่นยังไม่ควรจะได้ใช้ กลับถูกนำเสนอขายต่อหน้าต่อตา?
- มันจะดีเหรอที่ของในละครที่ทุกคนบอกว่า ผู้ใหญ่ควรสอนเด็กไปด้วยว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี แต่พวกเค้ากลับถูกดึงดูดใจด้วยโฆษณาชวนเชื่อ?

ถึงแม้ว่า episode12 ที่เพิ่งดูจบไปจะยังขาด น้ำเมา บุหรี่ สถานที่เที่ยวกลางคืน อบายมุขอื่นๆ แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะตามมาในเร็วๆนี้.. แล้วเราควรจะทำไงกับสื่อที่เข้าถึงง่ายมากๆๆๆในปัจจุบัน หรือเราทำได้แค่คิดว่า เด็กสมัยนี้โตเร็ว เลยต้องทำใจยอมรับมัน...

และมันจะไม่ใช่คำถามสุดท้าย
... เจ้าหนูจำไม


กลยุทธ์ "วัวตัวเมียหาย เลยล้อมเฉพาะคอกวัวตัวเมีย"

เมื่อไม่นานมานี้ เรื่องราวความอันตรายของการขับรถคนเดียวของสุภาพสตรีตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งของทุกสื่อ ... โจรร้ายใจโฉดต้องการขโมยรถเลยกระทำการอุกอาจกระโดดขึ้นรถเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 2 รายซ้อนในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งสถานที่เกิดเหตุก็เป็นลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดังทั้ง2แห่ง ... ซึ่งข่าวนี้ได้สร้างกระแสความตื่นกลัวเฉกเช่นข่าวอาชญากรรมอื่นๆในบ้านเรา.. ที่มันผ่านมาและผ่านไป...

แต่ประเด็นที่ตั้งใจพูดถึงในวันนี้ คือ กลยุทธ์การตลาดที่ไม่น่าเชื่อว่ามันช่างเข้ากับคอนเซป "วัวหายแล้วล้อมคอก" สำนวนไทยที่ใช้ได้เสมอกับเหตุการณ์อาชญากรรมในบ้านเรา (-_-") แต่ที่น่าแปลกใจในกรณีนี้คือ งานนี้เค้าเลือกล้อมเฉพาะคอกวัวที่มีปัญหา.. 

เรื่องมันมีอยู่ว่า ... 

วันก่อนไปห้างสรรพสินค้าที่เคยเกิดเหตุการณ์โจรกรรมรถดังกล่าวข้างต้น ตอนเข้าไปจอดรถซึ่งเป็นลานจอดในร่ม ก็ไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดเพราะรีบไปซื้อของ ... เมื่อซื้อของเสร็จเลยเดินกลับมาจะขึ้นรถ สิ่งที่สะดุดตาเป็นสิ่งแรก คือกลุ่มไฟสว่างจ้ากลุ่มหนึ่งบริเวณลานจอดรถ (อิมเมจิ้นคล้ายๆกับไฟยานอวกาศนอกโลกที่กำลังลงจอด) ก็ตกใจมากว่า เอะ!!ทำไมลานจอดรถบริเวณนั้นถึงสว่างกว่าบริเวณอื่น แต่เมื่อเคลื่อนรถผ่านแสงไฟ สิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่าคือ ป้ายสีชมพูสดใสบวกกับข้อความที่ว่า


"ที่จอดรถสำหรับผู้หญิงที่มาท่านเดียว"
"Lady Parking for One Lady Driver"

ณ ฉับพลันที่อ่านประโยคนี้จบก็นึกถึงสุภาษิตที่ว่า ... อ๋อ.. "วัวตัวเมียเค้าหาย เค้าเลยล้อมเฉพาะคอกตัวเมีย" มันช่างเป็นการวางกลยุทธ์ที่เฉพาะกลุ่มจริงๆยิ่งกว่า Niche Market ขอยกให้เป็น Unique Market กันเลยทีเดียว 
.. เอ่อ.. ก็เคยเห็นมาบ้างอ่ะนะ ที่จอดรถสำหรับผู้หญิง Lady Parking แต่นี่ถึงขั้นเฉพาะเจาะจงสำหรับ One Lady ONLY!!!

ต่อมสงสัยเจ้ากรรมก็เริ่มทำงานทันที ...

1.คุณตั้งใจจะปกป้องเฉพาะผู้หญิงที่มาคนเดียวจริงๆ เหรอ?
2.ถ้าผู้หญิงตัวเล็กๆ 2คนมาด้วยกัน หมายว่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นเหรอ? หรือเธอเหล่านั้นจะกล้าหาญเข้มแข็งและสามารถป้องกันตัวเองได้เยี่ยงชายชาตรี?
3.สำหรับเหล่าชายไทยอกสามศอก คุณมั่นใจว่าโจรกระจอกไม่คิดทำอันตรายคนกลุ่มนี้จริงเหรอ?
4.กลุ่มสตรีที่ใช้คำนำหน้าว่า "นาย" จะถูกจำกัดสิทธิด้วยเหรอ?
5.หากคนร้ายไม่ใช่โจรกระจอกที่มาคนเดียว แต่เป็นกลุ่มคนร้ายที่วางแผนกันมาโดยไม่สนว่าผู้เคราะห์ร้ายจะมาเดี่ยวหรือกลุ่ม แต่เป้าหมายคือต้องการ "รถคันนี้" วิธีนี้จะลดการก่ออาชญากรรมได้จริงเหรอ?

เมื่อคำถามทั้ง 5 ข้อเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน จึงนำมาซึ่งคำถามสำคัญข้อสุดท้ายที่ไม่ท้ายสุด นั่นคือ ... "แล้วแสงไฟสว่างจ้าที่มาจากนอกโลก จะทำให้มันสว่างทั่วลานจอดรถมิได้เหรอ เหรอ เหรอ เหรอ เหรอ...????"

... และมันจะไม่ใช่คำถามสุดท้่าย
เจ้าหนูจำไม

Tuesday, 13 August 2013

ประกาศสำคัญถึง "โจรร้ายไฮเทค"

ประกาศสำคัญถึง "โจรร้ายไฮเทค"

ขอให้ทุกท่านเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมรับมือกับการกระทำความผิดผ่านการสื่อสารทาง "ไลน์" เพราะขณะนี้ทางตำรวจได้ล้อมท่านไว้หมดแล้ว เราจะทำการบุกเข้าไปอ่านข้อความของท่านอย่างละเอียด ขอให้ท่านหยุด!! อย่าขยับ!!

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและดำเนินการอันใดก็ตามแต่ใจท่าน

จาก คุณตำรวจใจดี


... เรื่องนี้มันเกิดจากการได้ทราบข่าวผ่านทางสื่อเฟสบุ๊คและทีวีเกี่ยวกับการที่ตำรวจจะเข้าตรวจสอบการสื่อสารผ่าน "ไลน์" social communication สุดฮิตในยุคนี้ เนื่องด้วยตำรวจมองว่าเป็นช่องทางแห่งการก่ออาชญากรรมอันร้ายแรง.. อารมว่ายิ่งกว่าโจรแถบ3ชายแดนภาคใต้ (อันนี้คิดเอาเองนะ.. ขนาดต้องตรวจสอบ มันก็ต้องร้ายแรงชัวร์!!!)

แต่สิ่งที่ "จำไม" อดสงสัยไม่ได้มี 2 ประเด็น ...

ประเด็นแรกคงไม่แตกต่างจากคนทั่วไปที่ออกมาคอมเม้นท์ต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น กลัวว่าคุณตำรวจจะแอบมาอ่านข้อความรักที่ส่งหากิ๊ก ข้อความนินทาเพื่อน เจ้านาย หรือแม้แต่เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ และคร่ำครวญถึงสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค สิทธิส่วนบุคคล ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้พวกเรายังมีอยู่จิงหรือไม่? ...

ส่วนประเด็นที่2 ที่สร้างความสงสัยมากกว่า คือการที่ตำรวจมาร้องแรกแหกกระเฌอ (โอ่..สำนวนนี้เก่าจัด คงต้องยกมาเขียนถึงซักวัน) .. ว่า "ข้าจะตรวจสอบแล้วนะ เอาแน่ละนะ" .. มันจะต่างอะไรกับการที่ครูบอกเด็กนักเรียนว่า "อย่าลืมเอาสมุดการบ้านมาให้ครูตรวจนะ ไม่งั้นครูจะตีจิงๆนะ" (-__-")
การที่ตำรวจออกมาป่าวประกาศว่าจะตรวจสอบ ไลน์ ก็คงเหมือนกับการที่ประกาศว่า "โจรร้ายทั้งหลาย เลิกใช้ไลน์กันเถอะนะ ไปหาวิธีใหม่ๆเถ้อออออ"
... เฮ้ออออ ความจิงแล้วคุณตำรวจก็ดักฟังโทรศัพท์ ติดสัญญาณติดตามตัว ใช้ google earth ส่องหลังคาบ้านกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? .. แล้วการที่ออกมาป่าวประกาศแบบนี้ จะให้เข้าใจว่าอย่างไร???

... และมันจะไม่ใช่คำถามสุดท้าย
เจ้าหนูจำไม




Test Test Test ..


Say "Hi" to the World !!!